Рет қаралды 8,296
กบิลพัสดุ์ เป็นคำไทยที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤตว่ากปิลวัสตุ (Kapilvastu) บาลีเขียนเป็น กปิลวัตถุ (Kapilvatthu) ตั้งตามนามของฤาษีผู้นามว่ากบิล เพราะที่นี้เคยเป็นอาศรมของกบิลฤาษีมาก่อน ก่อนที่พระโอรสธิดา ๙ พระองค์ของพระเจ้าสุชาตตะ จะมาสร้างเมืองที่นี่กลายเป็นต้นตระกูลศากยวงศ์ และโกลิยวงศ์ต่อมา
ปัจจุบันกบิลพัสดุ์มี ๒ แห่ง ๑.กบิลพัสดุ์อยู่ในเขตของประเทศเนปาล เรียกว่าติเลาราโกฏ (Tilaulakot) ตั้งอยู่ที่อำเภอกบิลพัสดุ์ (Kapilvastu District) ๒.กบิสพัสดุ์ในเขตประเทศอินเดีย เรียกว่า ปิปราหวา (Piprahwa) อำเภอสิทธารถนคร (Siddharthanagar District) รัฐอุตตรประเทศ ห่างจากตัวอำเภอ ๖๐ กิโลเมตร ทั้งสองแห่งห่างกันประมาณ ๑๕ กิโลเมตรโดยมีพรมแดนอินเดีย-เนปาลคั่นกลาง ตัวพระสถูปที่ปิปราหว่านี้ห่างจากพรมแดงเนปาลเพียงกิโลเมตรครึ่งเท่านั้น สมัยก่อนเคยทำเป็นด่านสากลข้ามได้ แต่เพราะอินเดียอ้างเอาปิปราหว่าเป็นกบิลพัสดุ์ทำให้เนปาลไม่พอใจจึงปิดพรมแดนสากลที่นี่ในปีพ.ศ.๒๕๒๕ ในปัจจุบันทั้งอินเดียและเนปาลต่างแย่งชิงว่าฝ่ายตนเป็นที่ตั้งนครกบิลพัสดุ์ที่แท้จริง แต่ในมุมมองของคนกลางอย่างเราๆ ยืนยันว่า ฝั่งอินเดียเป็นที่ตั้งของสังฆารามทางพุทธศาสนาที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุโดยพวกเจ้าศากยะ ส่วนฝั่งเนปาลนั้น เป็นที่ตั้งของกรุงกบิลพัสดุ์โบราณ เพราะมีซากพระนคร มีกำแพงและปราสาทและราชวังชัดเจน
โบราณสถานที่กบิลพัสดุ์ในเขตอินเดียหรือปิปราหว่านี้ประกอบไปด้วยพื้นที่ ๓ ส่วนคือ ๑.ปิปราหว่า (Piprahwa) เป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ในกลุ่ม ๒.คานวาเรีย (Ganwaria) ห่างไปประมาร ๑ กิโลเมตร ๓.ศาลาการ์ห (Shalagarh) ห่างจากปิปราหว่า ๒๐๐ เมตร ทางตะวันออก ทั้งสามแห่งนี้ห่างกันประมาณ ๑ กิโลเมตร ทั้ง ๓ แห่งนี้ ปิปราหว่านั้นมีพื่นที่กว้างที่สุดประกอบไปด้วยพระสถูป (Stupa) และพระวิหาร (Monastery) คือ ที่จำพรรษาของพระสงฆ์โดยจะทำเป็นอาคาร ๔ เหลี่ยมแล้วทำเป็นห้องเล็กๆอยู่ภายในพอเป็นที่จำพรรษา
พ.ศ.๒๔๔๐ (ค.ศ.๑๘๙๗) นายวิลเลี่ยม เครกตั่น เปปเป้ (William Claxton Peppé) วิศวกรชาวอังกฤษ และเจ้าของพื้นที่ตรงนี้ ได้พาทีมงานขุดแต่งพระบรมสารีริกธาตุ ขุดลึกลงไป ๒๐ ฟุตจากยอดสถูปโบราณ ได้พบของมีค่าเป็นจำนวนมาก ได้พบหีบหินบรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุ ๕ ชิ้น