ก็อารมณ์นักท่องเที่ยวคนนึงนั่นแหละครับ ความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้แปลก เวลาผมไปตะวันออกกลางยังอยากเข้ามัสยิดไปดูกิจกรรมเขา แต่ก็ไม่ได้เข้าไป ฝรั่งก็อะเมซิ่งเวลาเห็นวัดไทยเหมือนกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาแต่อย่างใด เขามาดูสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และความเชื่อของคนอีกฝั่ง

เหมือนกันเลย เวลาที่ชาวคริสต์มาเดินตามบ้านแจกหนังสือคริสต์และชวนเข้าโบสถ์ อยากไปแต่กลัวทำตัวไม่ถูก ก็ได้แต่อ่านที่เขาแจกต่อไป..

เข้าไปได้ครับ แทบไม่มีข้อห้ามใดๆเลย ก็ทำตัวเหมือนคุณเดินเข้าวัดพุทธทั่วไป คนไทยเหมือนกันครับ ไม่ใช่ฝรั่งอั้งม้อที่ไหน อยากคุยกับพ่อเจ้าวัดก็เดินไปกดกระดิ่งที่บ้านพักจ้อกันได้ หิ้วเบียร์ไปด้วยก็ได้ ซะบายมาก

เคยเป็นพุทธนะ แต่คริสเตียนเชื่อในพระเยซูมาตายไถ่บาปทุกคนที่เป็นคนบาปในโลกนี้และให้ดำเนินชีวิตตามที่บัญญัติกล่าวไว้ว่าให้รักพระเจ้าผู้เดียว อย่ารักพระอื่นใดนอกจากพระองค์ ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง สารภาพบาป ยอมรับความจริง และมานมัสการพระเจ้าวันอาทิตย์ อ่านพระคัมร์ภีอธิษฐานต่อพระคริสต์ และพระเจ้าจะรับทุกคนเข้าสวรรค์ของพระองค์

สามารถเข้ามานั่งรับฟังในโบสถ์ได้นะคะ เชื่อว่าทุกโบสถ์ยินดีต้อนรับค่ะ 💗

ขอบคุณค่ะ ดีใจที่มีโอกาสได้เป็นประโยชน์ค่ะ 💗💗

ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ ^^

ขอพระเจ้าอวยพระพร ครับ

💗💗

ดีใจที่คลิปวีดิโอเป็นประโยชน์ค่ะ ขอพระเจ้าอวยพระพรนะคะ 💗

Pppp

ik

,

การศึกษาศาสนาสนุกดีนะครับ ลองศึกษาดูว่าพุทธที่เรานับถืออยู่ปัจจุบัน จริงๆแล้วแก่นของมันคืออะไร เพราะปัจจุบันมีไทยพุทธจำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้จักศาสนาที่ตัวเองนับถือ

ชอบเม้นนี้ค่ะ ที่สรุปให้ค่ะ กำลังจะเปลี่ยนศาสนาไปเป็นคริสต์ กำลังหาข้อมูลค่ะ

@@juraluksartirat8328 ส่วนตัวผมไม่มีศาสนาครับ คิดแค่ไม่ทำผิดใดๆและกับคนอื่นคนรอบตัวหรือทำให้ไครเดือดร้อนก็พอ เคารพทุกศาสนาที่ไปเยือนครับ

ขอพระเจ้าอวยพระพรเช่นกันนะคะ ^^

คาทอลิกก็มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่นะครับ

ไปเป็นพี่น้องกับพวกนอกรีดเอาเฟี้ยวอีกแล้ว

เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ฉะนั้น เรื่องความรักระหว่างกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมากค่ะ 💗💗

ยังมีอีพีอืน ๆ ที่อยากชวนมาดูได้ที่ kzfaq.info/sun/PL0CU1smVnz90xisgZ3-gewZOp1a7qHzng

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ CGN Thai ต้องการผลิตสื่อเพื่อเป็นพระพรและเสริมสร้างให้พี่น้องได้รู็จักพระเจ้าอย่างถูกต้องมากขึ้นค่ะ 💗

ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ ^^

ขอบคุณสำหรับ comment ที่แลกเปลี่ยนความรู้นะคะ คริสตจักรในภาพที่นำเสนอ ชื่อ The Bangju Church ค่ะ คาดว่าคริสตจักรคาทอลิกที่กล่าวถึงน่าจะเป็น CATHOLIC DIOCESE OF JEJU นะคะ

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ CGN Thai จะผลิตสื่อที่มีประโยชน์ต่อไปค่ะ 😊

👍👍

สมัยนี้ดี ถ้าเป็นสมัยก่อน 2 นิกายนี้ตีกันหนักมากตัวอย่างคือใน ประเทศไอแลนด์ที่เกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นมา

@@KNG7790 ตอนนี้ก็น่าจะยังมีนะครับ เหมือนจะเห็นข่าวไม่กี่ปีนี้เองครับ

คัยบอก

แตกแยกเพราะเกิดความ(เห็นที่)แตกต่าง

ขอบคุณพระเจ้า ^^

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ ยังมีอีกหลายอีพีที่จะช่วยทำให้เราเติบโตกับพระเจ้าได้มากยิ่งขจึ้น สามารถรับชมได้ที่ kzfaq.info/sun/PL0CU1smVnz90xisgZ3-gewZOp1a7qHzng

มนุษย์อ่อนแอเกินกว่าที่จะพึ่งพากำลังตนเอง ยังไงก็ต้องพึ่งพาพระเจ้า แค่ล้มหมอนนอนเสื่อยังไม่มีปัญญาจะพยุงตัวเองไปซื้อข้าวซื้อน้ำมากินได้เลยแล้วยังมาบอกว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สุดท้ายแล้วก้อต้องร้องหาให้คนช่วย

พระคุณพระเจ้านั้นแสนชื่นใจค่ะ 💗

ฮีบรู 9:27 เขียนไว้ว่า..โอกาสมีแค่ครั้งเดียว คือก่อนจากโลกนี้ เมื่อจากโลกไปแล้วแก้ไขออะไรไม่ได้แล้ว พระเยซูตรัส เรื่องเศรษฐีกับลาซารัสใน ลูกา 16:19-31 หลัง ความตายไม่มีแดนชำระ Purgatory ไม่มีในคำสอนไบเบิลครับ

@@user-ge1ns4ps1d มีค่ะ ในพระธรรมมัคคาบี2 12:43-45 "ยูดาสเรี่ยไรเงินจากทหารแต่ละคน ได้เงินจำนวนสองพันเหรียญดรักมา ส่งไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจัดให้มีการถวายบูชาชดเชยบาป นับว่าเป็นการกระทำที่งดงามและน่ายกย่อง โดยคำนึงถึงการกลับคืนชีพของผู้ตาย เพราะถ้าเขาไม่มีความหวังว่าผู้ตายจะกลับคืนชีพ การอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ตายคงไม่มีประโยชน์และไร้ความหมาย แต่ถ้าเขาทำไปเพราะคิดว่าผู้ที่ตายขณะที่ยังเลื่อมใสต่อพระเจ้าจะได้รับบำเหน็จรางวัลงดงาม ก็เป็นความคิดที่ดีและศักดิ์สิทธิ์ เขาสั่งให้ถวายเครื่องบูชาชดเชยบาปของผู้ตาย เพื่อจะได้พ้นจากบาป" (2 มัคคาบี 12:43-45) น่าเสียดายที่ลูเทอร์ได้ตัดพระวจนะคำของพระเจ้าทิ้งไป เพียงเพราะไม่ตรงกับความเชื่อของตน ทำให้โปรเตสแตนท์ไม่เข้าใจความเชื่อในไฟชำระค่ะ

@@user-ge1ns4ps1d ขอบคุณที่ตอบครับ เรื่องนี้ไม่มีกล่าวถึงโดยตรงหรอกครับ ไม่งั้นพวกเราคงเห็นตรงกันไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าแนวคิดนี้ไม่มีในไบเบิลนะครับ “การงานของแต่ละคนก็จะปรากฏให้เห็น เพราะวันพิพากษานั้นจะสำแดงให้เห็น คือจะถูกเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟนั้นจะพิสูจน์ว่าการงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร ถ้าการงานของใครที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ คนนั้นก็จะได้บำเหน็จ ถ้าการงานของใครถูกเผาไหม้ไป คนนั้นก็จะได้รับความสูญเสีย ส่วนตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ” ‭‭1 โครินธ์‬ ‭3‬:‭13‬-‭15‬ ‭THSV11‬‬ คำว่าวันพิพากษาในภาษากรีกเดิมคือ วันนั้น อาจจะแปลว่าวันพิพากษาหรือวันที่จะเข้าสู่สวรรค์ สังเกตว่าเมื่อมนุษย์ถูกทดสอบด้วยไฟ ถ้าเขาอยู่ในพระเจ้าเขาก็จะรอดอยู่ แต่ได้รับความสูญเสียจากไฟนี้ หรือลองอ่านเรื่องคำอุปมาเรื่องบ่าวที่เฝ้าระวังในลูกา 12 สิครับ “เปโตรทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสอุปมานั้นกับพวกข้าพระองค์หรือตรัสกับคนทั่วไป?” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นพ่อบ้านซื่อสัตย์และฉลาด ที่นายตั้งไว้เหนือพวกคนใช้เพื่อแจกอาหารตามเวลา เมื่อนายมาพบเขาทำอย่างนั้น บ่าวคนนั้นก็จะเป็นสุข เราบอกพวกท่านจริงๆ ว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของท่าน แต่ถ้าบ่าวคนนั้นคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วเริ่มต้นโบยตีบรรดาบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมามาย นายของบ่าวคนนั้นจะมาในวันที่เขาไม่คาดคิด ในเวลาที่เขาไม่รู้ และจะลงโทษเขาอย่างหนัก และจะขับไล่ให้ไปอยู่ในที่ของพวกที่ไม่เชื่อ บ่าวคนที่รู้ใจนายและไม่ได้เตรียมตัวไว้ ไม่ได้ทำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนอย่างหนัก แต่คนที่ไม่รู้ แล้วทำสิ่งที่สมควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนเพียงเล็กน้อย คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก และคนที่ได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากคนนั้นมาก” ‭‭ลูกา‬ ‭12‬:‭41‬-‭48‬ ‭THSV11‬‬ สังเกตว่าพระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรที่เป็นศิษย์ของพระองค์ และในบริบทของบ่าวที่รอเจ้านาย คือพวกเราคริสเตียนที่รอการกลับมาของพระเยซู มีบ่าว 4 พวก 1. บ่าวที่ฉลาด จะได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลทรัพย์สิน ข้อ 43-44 2. บ่าวที่ทุบตีบ่าวคนอื่น จะโดนลงโทษอย่างหนัก พูดถึงคริสเตียนที่ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นศิษย์พระเยซู ข้อ 45-47 3. บ่าวที่รู้ใจนายและไม่ได้เตรียมตัวไว้ พูดถึงคริสเตียนที่รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรแต่ไม่ทำ จะต้องโดนลงโทษอย่างหนัก ข้อ 47 4. บ่าวที่ไม่รู้ใจนาย พูดถึงคนที่ไม่รู้ว่าอะไรผิด จะถูกลงโทษเล็กน้อย ข้อ 48 พระเยซูตรัสว่าบ่าวพวกที่ 1 จะถูกไล่ไปอยู่กับพวกที่ไม่เชื่อ แปลว่าไม่ได้รับความรอด แต่พระเยซูตรัสว่าบ่าวพวกที่ 3,4 จะถูกเฆี่ยนอาจจะแปลว่าได้รับความรอด แต่ต้องถูกลงโทษตามการกระทำของพวกเขา ก็ลองพิจารณาดูครับ ผมเชื่อในสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์อยู่แล้ว ให้พระวจนะตัดสินครับ พระเจ้าอวยพรครับ

ประเด็นหลักที่ผมจะสื่อก็ึคือ ไฟชำระสำหรับผมมันเมคเซนส์เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “และไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือคนใดที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน หรือประพฤติการหลอกลวงจะเข้าไปในนครนั้นได้ นอกจากพวกที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระเมษโปดกเท่านั้น” ‭‭วิวรณ์‬ ‭21‬:‭27‬ ‭THSV11‬‬ และจากในลูกาที่กล่าวไป ถึงแม้คริสเตียนจะได้รับการชำระโทษบาปนิรันดร์ (Eternal punishment) เมื่อได้รับเชื่อ (justified - ผมคิดคำไทยไม่ออก) ในพระเยซูแล้ว แต่ถ้าหากยังตกในบาปหลังจากนั้นแล้วตายในขณะที่ไม่ได้ใช้โทษบาปอย่างสมควร (Temporal punishment, โทษบาปชั่วคราว) ก็ต้องใช้โทษบาปนั้นก่อนจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ต้องขอชี้แจงให้ชัดเจนว่าไฟชำระไม่ใช่การไปนรกแล้วไปสวรรค์ เหมือนกับความเชื่อคนไทยที่ว่าเราต้องใช้กรรมในนรกก่อนแล้วไปสวรรค์นะครับ ไฟชำระในคำสอนคาทอลิกไม่ได้มีการตีความที่แน่ชัดว่าเป็นสถานที่เหมือนนรกหรือสวรรค์ แต่เป็น “สถานะ” ชั่วคราว ในยุคกลางมีการตีความว่าเป็นสถานที่ แต่ในยุคปัจจุบันนักวิชาการพระคัมภีร์มองว่าเป็น “สถานะ” ที่เมื่อเราไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้าแล้วถูกชำระด้วยความรักของพระองค์ ทำให้เราสะอาดควรค่าแก่สวรรค์

@@oscarthird1996 ด้วยความเคารพต่อความศรัทธาของท่าน..คริสตจักรยุคกลางได้บิดเบือน เปลี่ยนแปลงแก่นแท้แก่นแท้ของข่าวประเสริฐไป การรีนิวจึงเกิดขึ้นเป็นคณะนิกายอื่นขึ้นมาครับ

💗💗

สิ่งสำคัญคือการเติบโตในความเชื่อกับพระเจ้าและมีความรักแบบพระคริสต์ค่ะ 💗💗

ใช่เลย

ดั้งเดิมสุดไม่เปลี่ยนคำสอนคือนิกายออร์ทอดอกซ์​ ส่วนคาทอลิกถูกสันตะปาปาแห่งโรมตีความคำสอนใหม่ให้เป็นสากล

ยินดีที่ได้เป็นพระพรค่ะ ขอบคุณพระเจ้า ^^

เช่นกันค่ะ

เรา คิดเงิน

เรา คิดถึงเธอ

@@bomsqwe1873 Danish obsessed me?

ดีแล้ว

Yes

ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ ^^

☦️ นิกายออร์โธด็อกซ์ Orthodox แปลว่า ถูกต้อง นับถือในประเทศทางฝั่งยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย🇷🇺 โดยแยกตัวออกจากพระศาสนจักรของกษัตริย์แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิล เนื่องจากไม่ต้องการอยู่ใต้อำนาจขององค์สันตะปาปา ซึ่งมีอำนาจสูงกว่ากษัตริย์ (คือมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ได้) ใยสมัยนั้น ข้อความเชื่อของนิกายออร์โธด็อกซ์คล้ายกับข้อความเชื่อของนิกายคาทอลิก มีพระอัยกาเป็นประมุข นิกายออร์โธด็อกซ์ยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระศาสนจักรตะวันออก มีผู้นับถือรวมกันประมาณ 500 ล้านคน

ไปฟังอย่างเปิดใจครับ ที่คริสตจักรใกล้ๆบ้าน อธิษฐานกับพระเจ้า ขอสำเเดงให้เห็น ให้เข้าใจ ในสิ่งที่ซ่อนเร้นในไบเบิ้ล ชีวิตคุณจะมองโลกไม่เหมือนเดิม ชีวิตคุณจะเป็นคนไม่มีศาสนา เปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์กับพระผู้สร้าง ขอพระเจ้าอวยพรครับ

แม้พระเจ้าจะให้เสรีภาพแก่มนุษย์ที่จะวาดภาพของพระองค์ ในแบบที่ตัวเขามอง และเข้าใจแบบนั้น แต่ไม่มีเสรีภาพใดที่จะใช้อ้างได้ เพื่อกำหนดความจริงของพระคัมภีร์เอาเอง

เยซู คือ ศาสดา ถ้าเยซูคือพระเจ้า พระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ 😂😅😊 คิดไปได้

@@newjameskoso2070 สิ่งที่คุณเชื่อไม่ลง..เป็นแก่นแท้ของข่าวประเสริฐ นะครับ

มีในคำภีร์ข้อไหนที่พระเยซูบอกว่าตนเองเป็นพระเจ้า

@@user-ge1ns4ps1d ผมขอแสดงความคิดเห็นแบบนี้ครับ ผมเชื่อในพระเจ้ายะโฮวา ผู้ทรงยิ่งใหญ่ปราศจากการสงสัยใดๆทั้งมวล พระองค์ทรงปรีชาญาณในการสร้างเอกภพ แค่เพียงพระองค์กล่าวให้เอกภพกำเนิด เอกภพมันก็กำเนิดตามพระประสงค์ มันง่ายมากสำหรับพระเจ้า อิแค่การไถ่บาปให้มนุษย์ แค่พระองค์ดำรัสให้บาปหมดไป บาปก็หมดแล้ว หรือพระองค์จะส่งเทวฑูตหรือศาสดาไปไถ่บาปก็พอมั้ง พระเจ้าจะลงไปเกิดเป็นมนุษย์ แล้วถูกมนุษย์จับทรมานบนไม้กางเขนจนตาย 555 ศาสนาอื่นฟังเค้าจะหัวเราะเอา แบบนั้นเท่ากับคุณลดคุณค่าในตัวพระเจ้า พระเจ้าโดนสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นมาฆ่าตาย นิทานขายขำของนิกายนึงที่ยกยอพระเยซูคือพระเจ้า ผมไม่เอ่ยถึงนิกายนั้นนะ เลี่ยงความรุนแรง

เกาหลีเจริญดี น่าสนใจในศาสนาที่เขานับถือ.

ต้องเป็นทหารทุกคนนะ ไม่มีรด ให้เรียนนะ เว้นแต่เป็นผู้หญิง

+ ศาสนาคริสต์มี 3 นิกายหลัก ได้แก่ คาทอลิก ออร์โธด็อกซ์ และโปรแตสแตนต์ + นอกจากนี้ระวังเจอพวกนิกายหรือลัทธิที่สอนเทียมเท็จด้วยนะครับ เช่น มอร์มอน พยานพระยะโฮวา ลัทธิมูน เป็นต้น + หากสนใจคาทอลิกสามารถหาวัดคาทอลิกใกล้บ้านเพื่อติดต่อขอเรียนคำสอน เรียนคำสอนใช้เวลาประมาณ 1 ปี จึงสามารถรับศีลล้างบาปเป็นคริสตชนได้ครับ + การเข้าวัดคาทอลิก ควรเช็คตารางมิสซาก่อน ในระหว่างมิสซาท่านสามารถทำตามสัตบุรุษในวัดไปก่อน เช่น ร้องเพลง ยืน-นั่ง คุกเข่า เป็นต้น แต่ห้ามเดินไปรับ(แผ่นปังและเหล้าองุ่น ซึ่งสงวนแค่คริสตชนคาทอลิกที่เตรียมตัวมาอย่างดี) เมื่อเลิกมิสซา ท่านสามารถไปหาบาดหลวงหรือคุณพ่อเพื่อขอเรียนคำสอนได้เลยครับ

ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นพระพรค่ะ 💗

ขอพระเจ้าอวยพระพรนะคะ ^^

หนังสือสารบบที่ 2 ของ Roman Catholic พันธะสัญญาเดิม 1. โทบิต 2. ยูดิธ 3. ส่วนเสริมของเอสเทอร์ 4. มัคคาบี ฉบับที่ 1 - 2 5. ส่วนเสริมของ ดาเนียล 6. บุตรสิรา 7. ปรีชาญาณ 8. บารุค ( ข้างในมี หนังสือเยเรมีย์ ที่เรียกว่า Epistle of Jeremiah หรือที่เรียกว่า Letter of Jeremiah ซึ่งเนื้อหาประมาณ ต่อต้านการนมัสการรูปเคารพและเทพเจ้านอกรีตต่าง ๆ ด้วย ) หนังสือสารบบที่ 2 ของ Eastern Greek Orthodox ( อ้างอิงจาก Orthodox Study Bible ) ( ที่มีเพิ่มมากกว่าที่ทางโรมันคาทอลิกมี) พันธะสัญญาเดิม นอกจากสารบบที่ 2 ของ โรมันคาทอลิก ก็มีเพิ่มดังนี้ 1. สดุดี 151 (เรื่องราวของดาวิด คนเลี้ยงแกะ ที่พระเจ้าเจิมตั้ง) 2. มัคคาบี 3 ( ส่วนมัคคาบี 4 เป็นภาคผนวก มี จอร์เจียน ออร์โธดอกซ์ นับ มัคคาบี 4 ในสารบบด้วย ) 3. บทภาวนาของมนัสเสห์ ( บทภาวนาสำนึกผิดเสียใจในความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่กษัตริย์มนัสเสห์ได้กระทำลงไป ) 4. หนังสือเยเรมีย์ ที่เรียกว่า Epistle of Jeremiah 5. 1 Ezra หรือที่ทางออร์โธดอกซ์เรียก 1 Esdras (เรื่องราวก่อน เอสรา) ( 2 Erza = หนังสือ เอสรา ที่เราใช้กันนั่นเอง ซึ่ง ออร์โธดอกซ์เรียกว่า 2 Esdras ) จอร์เจียน ออร์โธดอกซ์ นับ 4 Esdras เป็นหนังสือ 3 Ezra ( 1 Esdras ของ กรีกออร์โธดอกซ์ทั่วไป จอร์เจียน ออร์โธดอกซ์เรียกว่า 2 Ezra ) **ว่าด้วยชื่อ ของระบบคาทอลิก ทางคาทอลิก มีอีกชื่อของหนังสือเหล่านี้ อีกชื่อที่คาทอลิกเรียก = ชื่อที่คุ้นเคยกัน 1 Esdras = Ezra 2 Esdras = Nehemiah 3 Esdras = 1 Esdras (ชื่อที่เรียกทั่วไป) = 1 Esdras ของทางกรีกออร์โธดอกซ์ (เรื่องราวก่อน Ezra ) 4 Esdras = 1 Esdras อีกเล่ม (ชื่อที่เรียกทั่วไป) ที่แตกต่างจาก 3 Esdras (คาทอลิก กับ กรีกออร์โธดอกซ์ส่วนใหญ่ไม่รับ เล่มนี้ ) ****ว่าด้วยชื่อของระบบทางออร์โธดอกซ์ (ห้ามนำไปปนกับทางคาทอลิก เดี๋ยวงง ) 1 Ezra = เรื่องราวก่อน เอสรา = หนังสือ 1 Esdras ตามการเรียกแบบออร์โธดอกซ์ ( คาทอลิกเรียก 3 Esdras ) 2 Ezra = หนังสือ Ezra = หนังสือ 2 Esdras ตามการเรียกแบบออร์โธดอกซ์ ( คาทอลิกเรียก 1 Esdras ) ชื่อตามที่ กรีกออร์โธดอกซ์เรียก = ชื่อตามที่คุ้นเคยกัน 2 Esdras = Ezra + Nehemiah 1 Esdras = 1 Esdras ( หนังสือ 1 Esdras เรื่องราวก่อน Ezra ) < คาทอลิกเรียกเล่มนี้ว่า 3 Esdras > + 1 Esdras ( หนังสือ 1 Esdras อีกเล่ม ที่แยกจากเล่มก่อนหน้า ) < คาทอลิกเรียกเล่มนี้ว่า 4 Esdras > หนังสือสารบบที่ 2 ของ Orthodox Tewahedo แห่งเอธิโอเปีย ( ที่มีเพิ่มขึ้นมา ) พันธะสัญญาเดิม 1. Jubilee 2. Enoch 3. 4 Baruch ( the paralipmena of Jeremiah ) 4. 1, 2, 3 Maccabee ฉบับ Ethiopia ซึ่งแตกต่างจาก 1 2 3 Maccabee หลัก ทางเอธิโอเปีย เรียก Meqabyan และใช้ 1 2 3 Meqabyan แทน 1 2 3 Maccabee 5. Ethiopic Lamentation 6. นับ 4 Ezra = 4 Esdras (ตามการเรียกแบบคาทอลิก ) = 1 Esdras (ตามการเรียกของ กรีกออร์โธดอกซ์) 7. Josippon ** Jeremiah = Jeremiah + lamentation + latter of Jeremiah + 4 Baruch ( Paralipmena of Jeremiah ) ตามการจัดแบบเอธิโอเปียออร์โธดอกซ์เทวาฮีโด ** ชื่อ ที่ออร์โธดอกซ์เทวาฮีโด เอธิโอเปีย ใช้เรียกหนังสือสุภาษิต Messalë (Proverbs ch 1-24) Tägsas (Proverbs ch 25-31) พันธะสัญญาใหม่ 1. Sinodos 2. I - II Covernant 3. Ethiopic Clement 4. Ethiopic Didascalia

2. โปรแตสแตนท์มีเสาหลักคือ 5 Solae โดยมี Sola Scriptula เป็นตัวควบคุมหลัก พระศาสนจักรโรมันคาทอลิก มีเสาหลักเป็นสิ่งใด ตอบ Sola Scriptula ของชาวโปรแตสแตนท์ มีหลักคิดว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจสูงสุดในการตัดสินหลักความเชื่อความศรัทธา ทุกหลักความเชื่อและความศรัทธาต้องมีรากฐานหรือสามารถสังเคราะห์ได้จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีพิพาทกันทางด้านความเชื่อ หรือในการตัดสินความถูกต้องทางความเชื่อ ก็จะใช้พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นฐานที่มาแห่งสิทธิอำนาจสูงสุดในการตัดสิน, ซึ่งแตกต่างจาก Solo Scriptula (เอาแต่พระคัมภีร์เท่านั้น สิ่งใดไม่มีอยู่ในพระคัมภีร์ ผิดหมด เช่น การกินข้าวด้วยช้อนส้อม ไม่มีในพระคัมภีร์ ก็ผิด) สำหรับ พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระศาสนจักรกรีกออร์โธดอกซ์คาทอลิก มีเสาหลักดังต่อไปนี้ 1. APOSTOLIC TRADITION : ธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ที่สืบเนื่องกันมาจากอัครสาวก 1.1 แบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร : เช่น รูปแบบการประกอบศาสนพิธี รูปแบบการภาวนา รูปแบบการปฏิบัติทางศาสนา การอธิบายข้อคำสอน การตีความ อรรถาธิบายพระคัมภีร์ การอธิบายหลักความเชื่อ หลักเทววิทยา การพัฒนาศาสนศาสตร์จากการสังเคราะห์ข้อคำสอนจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ งานศิลปะทางศาสนา วัฒนธรรมทางความเชื่อ วิถีชีวิต และอื่น ๆ 1.2 แบบลายลักษณ์อักษร : คือ พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธะสัญญาเดิม สารบบเซปทัวจิน พันธะสัญญาใหม่ 27 เล่ม พระคริสตธรรมคัมภีร์ คือหนึ่งในธรรมประเพณีของอัครสาวก เพราะ - พระศาสนจักรเป็นผู้จัดสารบบพระคัมภีร์ , ในยุคแรกนั้น มีงานเขียนมากมายเกิดขึ้น มีทั้งงานเขียนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าจริง ๆ และงานเขียนปลอม พระศาสนจักรสามารถแยกแยะได้ว่างานเขียนใด เป็นงานเขียนที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และงานเขียนใดไม่ใช้ ก็โดยอาศัยเกณฑ์และหลักการที่ตั้งขึ้นโดยอาศัยการทรงนำของพระจิตศักดิ์สิทธิ์ จึงทำให้รู้ว่า งานเขียนใดได้รับการดลใจจากพระเจ้าจริง และสมควรได้รับการจัดเข้าสารบบพระคัมภีร์ ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า เป็นพระศาสนจักรเองที่เป็นผู้ค้นพบว่างานเขียนใดได้รับการดลใจจากพระเจ้า โดยอาศัยการช่วยเหลือจากพระเจ้า และจัดงานเขียนเหล่านั้นเข้าเป็นพระคัมภีร์ให้คริสตชนอ่าน รายการการจัดสารบบพระคริสตธรรมคัมภีร์ อย่างสมบูรณ์ทั้งพันธะสัญญาเดิมและพันธะสัญญาใหม่ โดยพระศาสนจักรคาทอลิก (ตอนนั้น โรมันคาทอลิก กับ กรีกออร์โธดอกซ์คาทอลิก อยู่รวมกันเป็นพระศาสนจักรเดียว เรียกพระศาสนจักรคาทอลิก) มีดังนี้

ค.ศ. 367 นักบุญ Athanasius เผยแพร่รายการหนังสือที่รวมไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาเดิมและภาคพันธะสัญญาใหม่ โดย พันธะสัญญาเดิมยึดตามสารบบเซปทัวจิน 46 เล่ม พันธะสัญญาใหม่ มี 27 เล่ม ค.ศ. 382 Council of Rome ประกาศยืนยันสารบบพระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาเดิม 46 เล่ม และพันธะสัญญาใหม่ 27 เล่ม ตามรายการของนักบุญ Athanasius , พระสันตะปาปา Damasus I โดยการลงมติของนักวิชาการพระคัมภีร์และพระสังฆราชยุคนั้น ลงนามรับรองสารบบพระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธะสัญญาเดิม 46 เล่ม และพันธะสัญญาใหม่ 27 เล่ม ตามมติของสภาแห่งโรม 382, และมอบหมายให้นักบุญ Jerome แปลพระคริสตธรรมคัมภีร์จากต้นฉบับภาษากรีกที่ดีที่สุด เป็นภาษาละติน และจากฉบับภาษาละตินที่มีอยู่ก่อนหน้า ให้เป็นภาษาละตินที่ดีขึ้น เพื่อสร้างพระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับมาตรฐาน Vulgata Bible (พระคัมภีร์ฉบับวัลเกต) ที่ประกอบด้วยหนังสือ 73 เล่ม ที่พระศาสนจักรโรมันฝั่งตะวันตก (ที่อนาคตจะเรียกว่าพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก) ใช้เป็นอย่างทางการ ส่วนพระศาสนจักรโรมันฝั่งตะวันออก (ที่อนาคตจะเรียกว่าพระศาสนจักรกรีกออร์โธดอกซ์คาทอลิก) ใช้ฉบับภาษากรีกที่ดีที่สุดตามเดิม ค.ศ. 393 Synod of Hippo ประกาศยืนยันสารบบพระคัมภีร์ตาม Council of Rome 381 ค.ศ. 397 Council of Carthage ประกาศยืนยันสารบบพระคัมภีร์ตาม Council of Rome 381 ค.ศ. 405 พระสันตะปาปา Innocent ที่ 1 มอบรายการสารบบพระคัมภีร์ 73 เล่ม ให้กับพระสังฆราชชาว Gallic นามว่า Exuperius แห่ง Toulouse ค.ศ. 1442 Council of Florence ประกาศยืนยันสารบบพระคัมภีร์ 73 เล่ม ตาม Council of Rome 381 (เป็นสภาศาสนจักรของพระศาสนจักรโรมันตะวันตก) ค.ศ. 1450 พระคัมภีร์ฉบับ ตัวพิมพ์ครั้งแรกของโลก Gutenberg Bible ประกอบด้วยหนังสือ 73 เล่ม ใช้สารบบเดียวกับ Council of Rome 381 (เป็นสภาศาสนจักรของพระศาสนจักรโรมันตะวันตก) ค.ศ. 1546 Council of Trent ประกาศยืนยันสารบบพระคัมภีร์ 73 เล่มตาม Council of Rome 381 เพื่อตอบโต้ การถอดพระคัมภีร์ 7 เล่มในพันธะสัญญาเดิมออกโดยชาวโปรแตสแตนท์ (เป็นสภาศาสนจักรของพระศาสนจักรโรมันตะวันตก) ค.ศ. 1672 Council of Jerusalem ประกาศยืนยันสารบบพระคัมภีร์พันธะสัญญาเดิมเซปทัวจิน และ พันธะสัญญาใหม่ อีกครั้ง (เป็นสภาศาสนจักรของพระศาสนจักรโรมันตะวันออก) ดังนั้น จึงกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า พระศาสนจักรเป็นผู้ค้นพบสารบบพระคัมภีร์โดยอาศัยการนำของพระจิตศักดิ์สิทธิ์และรักษาสารบบพระคัมภีร์เอาไว้

2. APOSTOLIC SUCCESSION : ความสืบเนื่องแห่งอัครสาวก พระศาสนจักรโรมันคาทอลิกและพระศาสนจักรกรีกออร์โธดอกซ์คาทอลิกรักษาความเชื่อดั้งเดิมเรื่องการสืบเนื่องจากอัครสาวกไว้คือ - อัครสาวกได้รับอำนาจในการอภัยบาป การสั่งสอน การทำอัศจรรย์ และการอภิบาล มาจากพระเยซูคริสตเจ้าโดยตรง จากการอ้างอิงที่ ".....ค่ำวันปัสกา พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่บรรดาอัครสาวก ตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับอภัยด้วย....” (ยน 20:22-23) และชัดเจนว่าอำนาจดังกล่าว มอบให้กับผู้อื่นได้ผ่านการปกมือแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้ด้วยการอธิษฐานภาวนา 1 ทิโมธี 1:6 และ 4:14 อัครสาวกเปาโลเตือนทิโมธีว่าตำแหน่งพระสังฆราชได้รับการประสาทให้กับเขาผ่านการวางมือ ข้อสังเกตใน 1 ทิโมธี 5:22 ว่าเปาโลแนะนำทิโมธีว่าอย่ารีบร้อนในการมอบอำนาจนี้ให้กับผู้อื่น ในทิตัส อัครสาวกเปาโลอธิบายถึงสิทธิอำนาจของอัครสาวกที่ทิตัสได้รับและกระตุ้นให้เขาดำเนินการอย่างเด็ดขาดในบทบาทผู้นำนี้ อัครสาวกเปาโลยังเน้นย้ำให้คริสตชนรักษาธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมา ทั้งจากข้อเขียน และจากวาจา หรือการประพฤติเป็นแบบอย่าง (1 โครินธ์ 11:2 และ 2 เธสะโลนิกา 2:15 ) นอกจากนี้ ตั้งแต่ยุคอัครสาวก พันธะกิจของอัครสาวกต้องได้รับการปฏิบัติตลอดไปและสืบเนื่องมาเรื่อย ๆ ผ่านการอธิษฐานภาวนาวางมือปก มอบสิทธิอำนาจให้ (กิจการ 1:21-26 ) ดังนั้น ความสืบเนื่องจากอัครสาวก ผ่านการมอบสิทธิอำนาจที่ได้รับมาจากพระเยซูเจ้าต่อ ๆ กันมา จึงจำเป็นและสำคัญมาก ๆ เพราะเฉพาะผู้ที่มี APOSTOLIC SUCCESSION อย่างถูกต้องเท่านั้นที่สามารถเทศน์สอน อภิบาลคริสตชน อธิบายพระคัมภีร์ได้ การจะได้รับ APOSTOLIC SUCCESSION ต้องเป็นผู้ที่ ผ่านเกณฑ์การคัดกรองตามมาตรฐานขั้นสูงของพระศาสนจักร เพื่อให้แน่ใจว่า พันธกิจแห่งงานที่อัครสาวกได้รับมอบหมายมาจากพระเยซู จะอยู่ในมือคนที่มีคุณภาพดีจริง ๆ

3. APOSTOLIC MAGISTERIUM : สิทธิอำนาจสูงสุดอันสืบเนื่องจากอัครสาวก ข้อสามนี้คือ สิทธิอำนาจสูงสุดในการระงับข้อพิพาท ความขัดแย้งทางความเชื่อ ทางศาสนา ยกตัวอย่างเช่น สมมติมีคณะสองคณะที่ตีความพระคัมภีร์แตกต่างกัน แล้วต่างฝ่ายต่างอ้างว่าตนพูด สอน และทำตามพระคัมภีร์ สังเคราะห์ข้อคำสอนมาจากพระคัมภีร์ที่ขัดแย้ง ไม่ตรงกันทั้งคู่ พระศาสนจักรจะทำอย่างไร ? ก็โดยอาศัยอำนาจชี้ขาดอันสืบเนื่องจากอัครสาวกนี้แหละ ในการตัดสินหรือกำหนด โดยดูจากความสอดคล้องกับพระคริสตธรรมคัมภีร์และสิ่งที่อัครสาวกเทศน์สอน รวมทั้งสิ่งที่นักวิชาการพระคัมภีร์ นักเทววิทยา ในยุคก่อน ดูสิ่งที่บรรพชนแห่งความเชื่อสั่งสอน ว่า ให้แนวทางและข้อคำสอนในเรื่องต่าง ๆ ไว้อย่างไร การใช้อำนาจ APOSTOLIC MAGISTERIUM แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ 3.1 อำนาจสูงสุดชี้ขาดและตัดสินโดย พระสันตะปาปาที่กรุงโรม : มีหลายกรณีที่ เกิดความขัดแย้งในพระศาสนจักรขึ้น ทางด้านการปกครอง ข้อคำสอนและความเชื่อ แล้วสภาศาสนจักรที่ปกครองบริหารในท้องถิ่นไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็จะส่งเรื่องเข้ามาที่กรุงโรม เพื่อให้พระสันตะปาปาเป็นผู้ชี้ขาดโดยตรง ตัวอย่างของการใช้ Apostolic Magisterium แบบนี้ ก็เช่น เมื่อครั้ง นักบุญอิกเนเทียสพระสังฆราช แห่งคอนสแตนติโนเปิล ถูกปลดโดยจักรพรรดิโรมันตะวันออกที่ไม่ชอบ นักบุญอิกเนเทียส เพราะการเทศน์สอนเรื่องการผิดศีลธรรมของจักรพรรดิ, แล้วจักรพรรดิตั้ง ฆราวาส ชื่อ โฟติอุส เป็นพระสังฆราชแทน, ทำให้ ลูกศิษย์ของ นักบุญอิกเนเทียสแห่งคอนสแตนติโนเปิล ยื่นอุทรณ์การปลดพระสังฆราชอย่างไม่เป็นธรรมให้กับพระสันตะปาปานิโคลัสที่ 1 แห่งโรม, พระสันตะปาปา รับเรื่อง และประกาศว่า การปลดพระสังฆราชอิกเนเทียสโดยจักรพรรดิโรมันเป็นโมฆะ พร้อมกับตั้ง อิกเนเทียส เป็นพระสังฆราชแห่งคอนสแตนติโนเปิลตามเดิม พร้อมทั้งประณามและปลด โฟติอุส ออก , พระสันตะปาปาแห่งโรมมีอำนาจนี้ เพราะ พระเยซูตั้งนักบุญเปโตรเป็นหัวหน้าอัครสาวก เป็นผู้ดูแลอัครสาวกคนอื่น เป็นอัครสาวกที่เป็นประธานแห่งอัครสาวก ที่พระเยซูมอบหมายหน้าที่เป็นพิเศษ และนักบุญเปโตรไปประกาศศาสนาที่กรุงโรม เป็นพระสันตะปาปาองค์แรก และวางมือแต่งตั้งพระสันตะปาปาสืบ ๆ ต่อกันมา ดังนั้นพระสังฆราชแห่งกรุงโรม จึงได้รับอำนาจนี้ และมีตำแหน่งเป็นพระสันตะปาปา (พระสังฆราชที่เป็นหัวหน้าของพระสังฆราชทั้งหลาย) ที่มีอำนาจในการบริหารงานดูแล 3.2 อำนาจสูงสุดชี้ขาดและตัดสินโดย สภาสังคายนาสากล (Ecumenical Council) สภาสังคายนาสากล ประชุมโดยพระสังฆราชที่ได้รับการปกมือแต่งตั้งอย่างถูกต้อง มี APOSTOLIC SUCCESSION อย่างถูกต้อง พระสังฆราชก็คือผู้สืบเนื่องตำแหน่งมาจากการวางมือแต่งตั้งอธิการโดยอัครสาวกนั่นเอง และควรต้องมีพระสังฆราชแห่งโรม หรือตัวแทนพระสังฆราชแห่งโรม เข้าร่วมด้วยเสมอ เมื่อสภาสังคายนาสากลลงมติในเรื่องใด ภายใต้การนำของพระเจ้า เรื่องนั้นก็ถูกประกาศให้ถูกต้อง ตัวอย่างการใช้อำนาจของสภาสังคายนาสากล ได้แก่ Council of Nicaea I 325 ที่ประณามคำสอนนอกรีตของ อาเรียส ที่สอนว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า เป็นเพียงสิ่งสร้างของพระบิดาเท่านั้น Council of Constantinople I 381 ที่ประณาม คำสอนนอกรีตของเนสโตเรี่ยน ที่สอนว่า พระจิตศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่พระเจ้า เป็นเพียงสิ่งสร้างของพระบิดา โดยหลัก ๆ มี Ecumenical Council 7 ครั้งด้วยกันที่พระศาสนจักรโรมันตะวันตก และพระศาสนจักรโรมันตะวันออกถือตรงกัน

คุณไปถามอย่างนั้นก็งงซีคับโปรแตสแตนส์ส่วนใหญ่เข้าโบถส์ร่วมกันได้คับไม่ว่าสายใหนหลักๆในไทยก็มีสายสภา สหกิจ แบบติส อะไรอย่างงี้มากกว่าคับ ถ้าบอกว่าเป็นคริสเตียนก้อคือรู้กัน ทำงานร่วมกันได้ความเชื่อไม่ได้แตกต่างกันเลย อาจจะมีเรื่องภาษาแปลกๆบ้าง แต่ก็พอเข้าใจกันได้เราจะไม่ตัดสินใครคับ แต่ถ้าพวกลัทธิเทียมเท็จอันนั้นเราไม่ถือว่าเป็นคริสเตียนคับ

@@FAR...PJ-Rindh แต่มันก็เยอะนะครับ ลัทธิเทียมที่ว่า เพราะว่าใครก็เปิดโบสถ์ได้ถ้ามีทุน

@@stream-5375 คับมีทั้งลัทธิเทียมเท็จ สอนผิด สอนเพี้ยน แต่คริสเตียนแท้แยกแยะได้คับแล้วที่สำคัญสุดพระเจ้าจะปกป้องลูกแกะของพระองค์ ตัวเราเองก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะยืนหยัดในความเชื่อคับ

คนไทยไม่ค่อยรู้ครับ ว่าตัวเองอยู่โปรสายไหน เเต่เมืองนอกส่วนใหญ่เค้าจะรู้ชัดเจน

@@FAR...PJ-Rindh เคยเจอนิกายมอมอน เป็นอีกแบบไปเลยครับ

ผมเป็นคริสเตียนนิกายโปรเตสแตนต์ ตามที่ผมเข้าใจในใบเบิลก็ไม่มีตรงไหนบอกนะว่าตายแล้วไปสวรรค์ทันทีมีแต่ตายแล้วต้องพักรอการเสด็จกลับมาครั้งที่2ของพระเยซูก่อน คนตายจะรออยู่ที่แดนคนตาย เมื่อพระเยซูกลับมาคนตายที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซูจะฟื้นขึ้นและถูกรับขึ้นไป(ได้รับความรอด)พร้อมกับคนเป็นที่เป็นผู้เชื่อในพระเยซู ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อในพระเยซูที่เหลืออยู่ทั้งคนเป็นและคนตายต้องรอถูกพิพากษาตามการกระทำของคนๆ นั้น ผู้ที่ไม่รอดก็จะต้องตกลงไปสู่บึงไฟนรกชั่วนิจนิรันดร์

จริงเป็นอย่างยิ่งเลยครับ ศาสนาที่ทำให้เรานับถือง่ายๆ อยากได้อะไรก็ขอพรพระเอา มันสะดวกกับมนุษย์เราที่เป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอชนิดหนึ่ง ดังนั้นศาสนาที่สอนว่าอยากได้อะไร ให้ลงมือทำ จึงค่อยๆถูกคนมองข้ามไปทีละน้อยๆ น่าเสียดาย

ขอบคุณพระเจ้าค่ะ 😊😊

โปรแตสแตนท์แขนงหนึ่ง