คุณอุ๋ย ผมไม่รู้ว่า จะสามารถปักมุดให้อยู่ด้านบนได้ไหมนะครับ จะสะดวกในการหาลิ้งนะครับ

หรือเพิ่มในส่วนคำบรรยาย ครับ

kzfaq.info/get/bejne/i9-pnbhpy-CpiYk.html

ขออนุญาตคัดลอกมาวางครับ ทำไมมนุษย์จึงมี2ตา มี2หู? -ตาสองข้างเห็นไม่เท่ากัน(องศา) ผลแห่งการเห็นเกิดเป็นภาพ3มิติในหัว -หูสองข้างได้ยินไม่เท่ากัน(เฟส) ผลแห่งการได้ยินเกิดเป็นเสียง3มิติในหัว ความต่างของเสียงโมโนกับเสียงสเตอริโอเมื่อฟังจากลำโพง -เสียงโมโนอยู่ตรงกลางไม่มีเสียงที่แยกไปอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา -สเตอริโอนอกจากได้เสียงที่แยกไปอยู่ข้างซ้ายและข้างขวา บางคนจะได้ยินบางเสียงอยู่ใกล้อยู่ไกลด้วย ความคิดแบบเดียวกับเสียงโมโน -เสียงเครื่องดนตรีมากมายที่ฟังจากลำโพงไม่ว่าจะฟังทีละชิ้นหรือฟังพร้อมกันจะได้ยินเป็นโมโนเหมือนกัน -ความคิดของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ตรรกะนั้นไม่ต่างกับการได้ยินเสียงแบบโมโน ความเข้าใจทุกๆเรื่องอาศัยภาษาช่วยตีความ -ทำให้โลกทัศน์ของคนที่เห็นภาพได้เพียง2มิติหรือได้ยินเสียงแค่โมโนเท่านั้นไม่ต่างกับปุถุชนผู้เข้าใจคำสอนพระศาสดา -ถ้าไม่ยอมรับข้อจำกัดของตนเองดังกล่าวเสียแล้วย่อมถือทิฏฐิว่าเข้าใจอะไรๆได้หมด แสดงมานะ อัตตา อหังการ ไม่รู้ว่าถูกโมหะครอบอยู่ จินตามยปัญญากับภาวนามยปัญญาอุปมาเหมือนหู2ข้าง -นักฟังหูทองเปิดเพลงโปรดฟังนับร้อยครั้งจากเครื่องเสียงสเตอริโอชั้นดียังรู้รายละเอียดของเสียงไม่เท่ากับซาวด์เอ็นจิเนียร์ผู้มิกซ์เพลงนั้น -พวกตีความธรรมะโดยไม่เห็นจากวิปัสสนาญาณจึงไม่ต่างกับผู้ฟังเครื่องเสียงธรรมดาทั่วไปที่ด้อยกว่ามาก โลกทัศน์ของคนทั่วไปในเรื่องกรรม -การได้ยินเพลงเดียวกันจากเครื่องเสียงอย่างดีๆชุดเดียวกันของคนทั่วไปกับนักฟังหูทองและซาวด์เอ็นจิเนียร์ต่างใช้ภาษาอธิบายออกมาได้ไม่ละเอียดเท่ากัน -การอธิบายเรื่องกรรมให้คนทั่วไปเข้าใจนั้นยากดุจเดียวกับที่อุปมาถึงมิติของการได้ยินต่างกัน ไม่มีใครหยั่งรู้กรรมได้ทั้งหมด -เรื่องกรรมเป็นอิทัปปัจยตาที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงเส้นเดียว ไม่ใช่1+1=2 ไม่ใช่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่ใช่เรื่องบุญบาปที่ได้รับผลแบบใช้ตาชั่ง เกิดสุขเกิดทุกข์สนองเท่ากัน ได้สวรรค์ได้นรกอย่างที่กำหนดไว้เหมือนกันหมด -กรรมจากบรรพบุรุษฝ่ายพ่อและกรรมจากบรรพบุรุษฝ่ายแม่มีมิติเหมือนเสียงระบบสเตอริโอ วิบากเกิดกับลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน ลูกบางคนทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์ ลูกบางคนทำให้พ่อแม่เป็นสุข มุมมองของศาสนาพุทธ -ตระหนักว่าสมองมนุษย์มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ แม้จะมีข้อมูลมากมายมหาศาลมันก็ไม่สามารถหยั่งรู้เรื่องกรรมได้ทั่วถึง -พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ยอมจำนนต่อกรรม แต่สอนให้แต่ละคนพัฒนาตนเองด้วยหลักอริยสัจ4 สรุป -การสอนเรื่องกรรมให้รู้แจ้งแทงตลอดทุกมิตินั้นยากเกิน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้รู้ทุกข์ ละสมุทัย แจ้งนิโรธและเจริญมรรค ซึ่งมนุษย์ธรรมดาๆทำได้ พ้นทุกข์ได้ ทำลายวัฏสงสารได้ โดยไม่ต้องเห็นอิทัปปัจยตาละเอียดเท่าพระพุทธเจ้า -มนุษย์นั้นต่างมีบริบทที่หลากหลายทำให้คิดและตัดสินใจแต่ละเรื่องไปตามโลกทัศน์ของตน หากไม่มีสัมมาทิฏฐิภายในกรอบของอริยสัจ4 ผลของการกระทำย่อมวนเวียนในกองทุกข์ ถูกอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า

นิพพานที่คนคิดเข้าใจกับนิพพานของจริงเป็นคนละอย่าง คนที่ไม่เคยมีสติรู้กายรู้ใจ ณ.ปัจจุบัน จะไม่มีวันประจักษ์ถึงนิพพานได้เลย มีแต่ปรุงแต่งขึ้นมาจากการอ่านการฟังทั้งนั้นครับ คิดเรื่อง"อจินไตย"แล้วบ้าเพราะ"โลกทัศน์"ของเรานั้นเหมือน"กบอยู่ในกะลา" ถูก"ปรัชญาและศาสนา"ครอบงำให้คิดและเชื่อไปโดยมีข้อจำกัดของภาษาที่ใช้คิด "โลกทัศน์"เป็นโลกส่วนบุคคลที่เชื่อมโยงกับโลกภายนอก เราเกิด"ตัวตนรูปธรรม"เป็นคนบนโลกนี้ด้วยปัจจัยมากมายประกอบกัน(อิทัปปัจจยตา) เช่นเดียวกับการเกิด"ตัวตนนามธรรม"ในโลกทัศน์ก็มีปัจจัยมากมาย(ปฏิจจสมุปบาท) ทั้ง"ตัวตนรูปธรรม"และ"ตัวตนนามธรรม" สืบเนื่องมาจากอดีตเป็นผลผลิตของ"กรรม" ถ้าไม่มี"กรรม"ในอดีตจะไม่มีการเกิดตัวตนทั้งสองแบบ หากสืบกลับไปหาว่าอะไรมีมาก่อน"กรรม" ใช่จะตอบกันง่ายๆว่า"ความว่างเปล่า!" จากการใช้"เหตุผลนิยม" การคุยกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด คือการสะท้อน"โลกทัศน์"ของแต่ละคนออกมาบอกผู้อื่นด้วยการพูด การเขียน การพิมพ์ ต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดในมิติที่ไม่ต่างกับการเห็นภาพ2มิติหรือการได้ยินแบบโมโน แม้ผู้พูดจะมี"โลกทัศน์"เป็น3มิติ หรือโอ้อวดว่ารู้ถึง4-5-6มิติก็ตามที อย่างไรเสียผู้ฟังแทบทั้งหมดเข้าใจแบบ2มิติ เรามี2ตา มี2หูกันทุกคน แต่มีความเคยชินที่จับจ้องสิ่งต่างๆอันเป็น3มิติมาผ่านความคิด รับรู้ชัดเจนแค่เพียง2มิติพร้อมกับเบลอรายละเอียดที่เกินนั้นไป แม้จะใช้ภาษาอวดอ้างตนว่าบรรลุธรรมพ้นจากบัญญัติแล้ว แต่ก็ยังอยู่ใน"โลกทัศน์"เดิมๆที่คุ้นชิน เพราะมี"ตัวตนนามธรรม"เป็นผู้แสดงอยู่ ด้วยว่า"พระอรหันต์อุปโลกน์" สาธยายความคิดออกมาจาก"โลกทัศน์"เดียวกับผู้ฟัง มันจึงพาให้เชื่อได้ง่าย ของปลอมแบบนี้ชวนให้คนทั่วไปยอมรับว่าเป็นของจริงได้ง่ายกว่าการฟังอะไรที่มันพ้นไปจาก"โลกทัศน์"ตัวเอง พ้นจากภาพ2มิติหรือเสียงโมโน การเสวนากันจึงเน้นให้คนทั่วไปที่ไม่มีวิปัสสนาญาณรู้เรื่อง ยอมรับเสียก่อนว่าความคิดมีข้อจำกัด ภาษามีข้อจำกัด อย่าได้ซื่อบื้อเถรตรงแปลคำสอนครูบาอาจารย์เป็นจริงจัง เหมือนเราดูเด็กเล่นขายของ"ติ๊งต่าง"อะไรๆแทน"ของจริง"อยู่ เราแยกแยะได้ว่า"ติ๊งต่าง"กับ"ของจริง"เป็นคนละสิ่งกัน

ผู้ปฏิบัติได้ของจริงย่อมดูออกว่าใครเป็นตัวจริง

สาธุเด้อ

ขอแปะหน่อย 😊 นะคะ อริยสัจ4 ตอบโจทย์ชีวิตชาวพุทธทั้งมิติอันเป็นรูปธรรมและนามธรรม (จบกิจต่างกรรมต่างวาระ) อริยสัจ4 ของรูปธรรม (เจริญถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ) ทุกข์รูปธรรม-ความเจ็บ ความแก่ ความตายของร่างกาย (ในแต่ละช่วงวัยของชีวิต) สมุทัยรูปธรรม-การเกิดตัวตนทางกาย (จึงไม่พ้นต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย) นิโรธรูปธรรม-ไม่มีตัวตนเป็นทายาทสืบทอดธาตุขันธ์อีกต่อไป (ไม่มีลูก) มรรครูปธรรม-มรรคอันทำให้บริสุทธิ์ทางกาย (อินทรีสังวรศีล-วิราคะ) อริยสัจ4 ของนามธรรม (เจริญถึงสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ) ทุกข์นามธรรม-ความนึกคิดปรุงแต่งต่อ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ในแต่ละช่วงเวลาของวัน) สมุทัยนามธรรม-การเกิดตัวตนทางใจ (จึงมีตัณหา 3 ไม่สิ้นสุด) นิโรธนามธรรม-ไม่มีตัวตนเป็นโอปปาติกะในความนึกคิด (วิสังขาร) มรรคนามธรรม-มรรคอันทำให้บริสุทธิ์ทางใจ (เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ)

สาธุครับ

คำถาม : ตายแล้วอะไรสูญ-อะไรไม่สูญ? คำตอบ : ไม่มีจิตดวงใดจากอดีตหรือชาติก่อนอย่างที่ฮินดูสอน จิตของเรามีขึ้นหลังจากเกิด ไม่มีจิตอมตะเป็นเราก่อนมาเกิด กรรมในอดีตของบรรพบุรุษ ของปู่ย่าตายายเป็นกรรมของเผ่าพันธุ์ สมองจำไม่ได้แต่จิตมีสัญญาจำได้หมด เป็นปัจจัยของสังขารทั้งรูปธรรมและนามธรรมของทุกคน ดังนั้นรูปและนามอันเป็นสังขตธรรมของเราตายแล้วสูญ แต่กรรมไม่สูญ ลูกหลานคือผู้รับกรรมต่อไป DNA ถ่ายทอดพันธุกรรม รวมทั้งกรรมที่สะสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน

สาธุุ

แต่ มำไมคุณไม่เอ่ยถึง ศีล5หละ ถ้าหากไม่มีศีล มันก็จะสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง คือถ้าเราหลงไปในทางไม่ถูก คือผิดศีลธรรม แต่ยังหลงระเริงไปอยู่ แต่เพราะศีลเป็นเครื่อง เป็นเกาะป้องกันบาปอกุศลทั้งปวง เราก็จะไม่แตะต้องสิ่งที่ผิด เพราะเราลำรึกถึงศีลๆจะสะกิดเตือนเราทันที ต่อจากนั้นสติจะมีมาจึงเกิดปัญญาโดยอัตโนมัติ ...จึงเห็น ส่วน ที่ รู้ เขียน เห็น คำสอนทางพระศาสนา จะกล่าวคำว่า ศีลขึ้นก่อนตลอด คือ ศีล สมาธิ ปัญญางัยครับ สำหรับเรื่อง ฝึกฝนสมาธิ วิปัสสนาสมาธิฯ คุณก็ต้องมีครูบาอาจารย์ ชี้แนะควบคุมกำกับอยู่ก่อน จนชำนิชำนาญเสียก่อน จึงค่อยปฏิบัติเพียงลำพังครับ ไม่งั้นบ้านะครับ เอ๋อมามากเลยครับ อาจารย์ก็ต้องเลือกวสำนักด้วยวัดด้วยนะครับ แนะให้นะ วัดหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน+หลวงพ่อฤาษีลิงดำ +อาจารย์สมภพสายหลวงปูมั่น แค่นี้ไม่ผิดหวังครับ

ขอบคุณ เทคโนโลยี ด้วยคน ทำให้การสนทนาธรรมข้ามโลกได้ และ โชคดีที่ชาตินี้ เรายังมีลมหายใจ ยังมีสัญญา และใจ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ มีสัญญาและใจก็สามารถบรรลุธรรมได้ คำถาม เพราะอะไร สัญญาหรือความจำ เป็นส่วนของอดีต ทั้งหมด เราฟังอะไรมาเรียรรู้อะไรมาชาตินี้แหละ เราก็จำได้แล้วเอามาเสวนากันในวันนี้ ด้วย สังขาร คือการปรุงแต่งขึ้น เป็นส่วนของอนาคต คือ ถ้าคิดจะพูด เขาเรียก วจี +สังขาร คุ้นๆนะ พูดออกไปปั๊มเรียกวจีกรรม เพราะ กรรมเกิดจากเจตนา ฝ่านการคิดมาแล้ว กรรมสำเร็จแล้ว ถ้าพูดดี คือ อยู่ในกุศลกรรมบท10 ก็ดีไป ถ้าพูดแล้วเป็นอกุศล คือ อยู่ในอกุศลกรรมบท10 ก็ซวยไป กลายเป็นบาป เพ้อเจ้อ ส่อเสียด โกหก หลบหลู่ฯ เห็นไหมว่า ศาสนาพุทธ หากศึกษาจาก พุทธวจน คือ คำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์พระศาสดาเองแล้ว เข้าใจง่าย ลัดสั้นตรง ไม่งมโข่งพายเรือในอ่างน้ำ เหมือนฟังสอนของสาวก ที่แต่งขึ้นตามความเข้าใจตนเอง มาพูดถึงนิพพาน กับสมอง หัวข้อในคลิปนี้ สมองคือ หน่วยความจำ หากความจำไม่เสียหายไม่บ้า ไม่วิปริต ก็บรรลุธรรมได้ ทุกขั้น จะด้วยปัญญาวิมุตติหรือ เจโตวิมุตติ สมาธิ ต้องมีเป็นบาทฐาน คือ สัมมาสมาธิ แต่ จะได้หรือไม่ได้ฌาณก็ได้ ใช้ปัญญา คือ การพิจารณา สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ว่า สิ่งใดไม่เคยมีก็มีมา มีมาแล้วก็ดับไป เห็นอะไรในสภาพธรรมข้อนี้ ไตรลักษณ์ เห็นแล้วได้อะไร ได้ปัญญา เพราะ เห็นอริยสัจ +ธรรรม ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า พระศาสดาตรัสถามแก่ภิกษุทั้งหลาย เป็นเราก็ต้องตอบว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดเป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอจะเห็นว่า สิ่งนั้น ว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา เป็นอัตตาของเรา ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า งั้นพวกเธอทั้งหลาย พึงถอนอุปปาทานจากสิ่งนั้นสิ พอถอนอุปปาทานคือ ความยึดมั่นว่ากายนี้เป็นเราเป็นของๆเราเป็นอัตตาตัวตนของเราได้แล้ว ใครมาด่า มาว่า เจ็บไหม ไม่เจ็บแล้ว ตายก็ตายสิ ร่างกายนี้ ก็เป็นของเกิดดับตามธรรมชาติ นี้แหละคือการปล่อยวางเป็นพระอรหันต์ ด้วยปัญญาวิวุติ ส่วนเจโตวิมุตติ ใครอยากรู้ว่ายังไงก็ค่อยถามมา ยาวแล้ว สงสารคุณหมอกับคุณอุ๋ย ที่รู้ธรรมมะเพียงเปลือกๆนอกใบ ยังไม่ถึงกระพี้ แต่เหตุปัจจัยมี หากไม่ยอมรับความจริง ก็ยาก เพราะอินทรีย์ ๕ ศรัทธา มาเป็นที่หนึ่ง ไม่มีศรัทธา หรือจะมี วิริยะ มาเรียนรู้สืบเสาะหาแก่นธรรมแท้ๆ ไม่ต้องพูดถึง สติ สมาธิ ปัญญา ที่จะเจาะแทงกิเลสได้เลย ปัญญาหาเงินทองมาใช้ คงพอได้ หากยังมีลมหายใจอยู่ รีบเลย หมอวี ด้วย มาถูกทางแล้ว คือ รู้ลม แต่ในความรู้ นั้น ต้องใช้ปัญญาประกอบ ด้วย จึงจะเจาะแทงกิเลสได้ ไม่งั้น ฤๅษี คงเป็นอรหันต์กันเต็ม เพราะทำสมาธิเก่งกันหมด เนอะ รู้อะไรรู้ให้จริง แล้วจะไม่เสียชาติเกิด เพราะการได้ความเป็นมนุษย์นั้นแสนนนนยากมาก ขอบอก

จริง

จากตามคุณอุ๋ย จนได้ฟังพี่หมอ จนได้พบพระอาจารย์สุชาติ ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่ชักนำให้กลับมาสู่ทางที่ควรครับ ตอนนี้ติดตามทุกท่านและหวังว่ามาสนทนากันบ่อยๆนะครับ

สาธุ

ขอบคุณ​มากๆค่ะทั้งคุณอุ๋ยและคุณหมอตั้งแต่มีคุณหมอเป็นเพื่อนพี่มีความสุข​ทั้งกายและใจสาธุๆนะคะ.🙏🙏🙏

ฟังแล้วชอบจ๊ะ ..

นาทีที่33:23 ปวดหัวเป็นภาวะร้อนของร่างกายอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับเวลาไข้ขึ้น ความเครียดทางกายหรือจิต ทำให้ร่างกายร้อนขึ้น แต่อุณหภูมิร่างกายไม่สูงขึ้นจนถึงขนาดวัดไข้ได้ แต่แก้ไขได้ด้วยการลดภาวะร้อนนั้น โดยอาหารฤทธิ์เย็น เช่น พืชผักผลไม้ จะช่วยปรับสมดุลได้ การนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ก็ช่วยลดภาวะเครื่องร้อนได้ ถ้าเกิดจากการคิดมาก สมองและจิตต้องทำงานมาก ก็แก้ได้ด้วยสมาธิ พักจิต แต่ในทางแพทย์แผนปัจจุบัน จะระงับได้ชั่วคราวด้วยยา แต่ไม่ได้แก้ที่เหตุจึงไม่หายขาด จึงเข้าใจผิดว่าไม่มีสาเหตุ

@@failogy ต้องภาวนาจึงจะรู้ได้จริง เวลาที่อริยมรรคเกิดนั้น เกิดขึ้นชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง แวบเดียวเท่านั้น ฉะนั้นบางท่านเกิดมรรคเกิดผล ไม่รู้เลย ไม่ทันมัน เหมือนฟ้าแลบ เร็วกว่าฟ้าแลบอีก แป๊บ กิเลสมันขาดสะบั้นไปแล้ว บางท่านจิตท่านชำนาญในสมาธิ ตอนที่เกิดอริยมรรคท่านเห็นกระบวนการที่เกิดอริยมรรค อริยผล ทั้งหมดนี้ 7 ขณะ แต่ถ้าจิตไม่ทรงฌานจริงจะไม่เห็นจริงหรอก กิเลสมันขาดไปเลยไม่รู้หรอก แล้วมันจะค่อยมาสังเกตที่หลัง เขาเรียกมีปัจจเวกขณญาณ มาตามรู้ทีหลังว่า อกุศลตัวนี้ขาดไปแล้ว ขาดเด็ดขาดไปแล้ว ยังเหลือกิเลสตัวไหน เหลืออกุศลตัวไหน จะมารู้ทีหลัง หลังจากเกิดกระบวนการของอริยมรรคอริยผลไปแล้ว สรุปก็คืออ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ อ่านใจไป จิตมีราคะก็รู้ จิตไม่มีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตไม่มีโทสะก็รู้ จิตหลงก็รู้ จิตรู้ตัวอยู่ก็รู้ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ จิตซึมเซาหดหู่ก็รู้ หัดรู้อย่างนี้เรื่อยๆ ไป แล้วมรรคทั้งหลายก็จะเจริญขึ้นมา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 กรกฎาคม 2565

แค่ทำ จิตรวมเป็น1 ยังไม่ถึง ชาน1 จะรับรู้ มิติที่5 คือ เวลา มันยืดออก มีปิติ มาก ( เอ็นโดฟิน เยอะเกิน) .. หยุด คิด จึง ผ่าน ..

เข้าใจ ภาวะ จิตนิ่ง จะรู้ว่า ในภาวะ จริง ที่เกิด มันอธิบายไม่ได้ ไม่เหมือน ตำรา สักนิด

เป็นสภาวะธรรมที่มีแต่ลมหายใจเข้าออก..ไม่มีขันธ์5..

นิพพาน ก็เป็นแค่ จินตนาการ ของแขกอินเดีย เริ่มจากพระปารศวนาถ แล้วพระพุทธเจ้าก็แค่ไปจำมาสอนต่อ

@@failogy ที่คอมเมนท์เพราะสนใจหัวข้อที่คุญอุ๋ย และคุณหมอนำเสนอซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งวิทยาศาสตร์ และหลักธรรมเนื่องจากเกิดความรู้สึกคล้ายๆ กับที่ตัวเองเป็น เลยอยากแชร์สภาวะที่เกิดขณะปฏิบัติธรรม และยังมิอาจเอื้อมถึงนิพพานเพราะยังเป็นปุถุชนมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่เป็นปกติ แต่ตอนนี้ก็ฝึกเจริญสติเพื่อให้ลดกิเลสต่างๆ เพื่อรู้ทันเวลามีผัสสะมากระทบ ก็พยายามค่อยๆฝึกไปเรื่อยๆ รู้บ้าง หลงบ้างค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ 🙏🏻😊

@@failogy ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่ชี้แนะค่ะ 🙏🏻

ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มันจะผ่านการคิดรู้เป็นเห็น ไม่ต้องใส่ใจว่าจะใช้เวลาเท่าใด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แค่เริ่มก้าวเดินทางธรรมก็ถือมีวาสนาแล้ว

จากที่อ่านๆดูคิดว่าน่าจะเป็นสภาวะที่ขันธ์แยกนะคับ อย่างเช่นจะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เหมือนเราอยู่ในหุ่นหรือตัวอะไรสักอย่าง ขอให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆนะคับ อนุโมทนาสาธุคับ

@@james31231 อนุโมทนาสาธุค่ะ 🙏🏻

จริงไม่คับ ท่านบรรลุพระอรหันต์จริงมั้ยคับ

อะไรเป็นปัจจัยให้เวทนาเกิดครับ และอะไรเป็นปัจจัยให้เวทนาดับไปครับ

@@tathagatasawago7895 เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา

@@user-tw1os4tx8n นิพพานของคนตาบอด

สาธุเจ้าค่ะ

@ดูถัวะๆ 👀 คุณเป็นคนคิดลบ มองในแง่ร้าย จึงไปว่าคนอื่นบ้าบุญ เพ้อฝัน หิวแสง เพราะคนบ้าบุญดีกว่าบ้าบาป อยากไปสวรรค์นิพพานก็ยังดีกว่าอยากไปสรรค์ชั้น7 มัวเมาในกามคุณ อยากเป็นผู้มีบุญก็ยังดีกว่าชิงหมาเกิดหนีนรกมาเกิด หิวแสงแสดงบทบาทดีก็ยังดีกว่า สร้างภาพเพื่อหลอกลวงเอาประโยชน์จากคนอื่น การอยู่กับปัจจุบันด้วยการทำวันนนี้ให้ดีที่สุด แม้จะมีแรงบันดาลใจในอนาคต ก็ยังเป็นเรื่องดี เพราะอธิษฐานบารมีเป็นบารมีหนึ่งที่ทำให้คนเป็นเลิศได้ ด้วยการสร้างความดีให้กับตน อย่าง ตั้งมั่น มั่นคง ไม่หวั่นไหว

👏👏👏…สุดยอดเลยค่ะ อธิบายชัดเจนที่สุด… ( มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ…แค่"ปฏิบัติ" )

เพราะ ยัง ไม่เข้าถึง จิตรวมเป็น1 สัมผัส มิติที่5 เวลายืดขยาย จึง เห็นว่า ทำบุญ ด้วย วัตถุ นั้นเลิศ

@@yongyuthtuntiwong7577 จิตรวมเป็น1 เรียกว่า จตุตถฌาน ฌานที่ ๔ ส่วนการสัมผัส มิติที่5 เวลายืดขยาย เป็นเพียงนิมิต หรือวิปัสสนึก การทำบุญด้วยวัตถุ แม้เป็นบุญเบื้องต้น แต่วัตถุบางอย่าง เช่น หนังสือธรรม ซีดี วีซีดี เป็นธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง และเป็นเลิศในการกำจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว เป็นฐานของศีล ภาวนา ไปสู่ทางพ้นทุกข์

ขอลิ้งTedtalkที่พูดถึงได้มั้ยค้า

@@TheNooprae ตามลิ้งนี้เลยค่ะ

@@Ploy-wt4pf ลิ้งก์ไหนคะ

@@TheNooprae แปะลิ้งแล้วยูทูปเอาออกค่ะ😅 เข้าGoogleเขียน Drj jill Tedtalk ก็ขึ้นแล้วค่าา

@@teya6328 แปะลิ้งแล้วยูทูปเอาออกค่ะ😅 เข้าGoogleเขียน Drj jill Tedtalk ก็ขึ้นแล้วค่าา