3.2 คำสอนพระองค์ เข้าใจง่ายได้ด้วยหลักเหตุหลักผล และปฏิบัติได้ง่าย เช่น ฤกษ์งามยามดีของพระองค์ คือ ถ้ากาย วาจา ใจ สุจริต ในเวลาใด เวลานั้นคือฤกษ์ดีแล้ว จะเป็นเวลากี่โมงยาม ก็ดีหมด หรือเรื่องกรรม พระองค์ตรัสว่า กรรมเก่าคือร่างกายเรา กรรมใหม่เกิดจากการสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ถ้าเราระมัดระวัง ก็จะไม่เกิดกรรมใหม่ที่ไม่ดี 3.3 คำสอนพระองค์ใช้ได้ตลอดกาล คำสอนในอดีตก่อน 2,500 ปี ก็ใช้ได้ ปัจจุบันก็ใช้ได้ อนาคตก็ใช้ได้ เช่น พระองค์ตรัสว่า ใจเรา จะคิดไปใน 4 แห่งเท่านั้น คือ คิดไปในร่างกาย(รูป) คิดไปในสุข ทุกข์ เฉยๆ(เวทนา) คิดไปในอดีต(สัญญา) และคิดปรุงแต่งไปในอนาคต(สังขาร) เราจึงพอสรุปได้ว่าคำสอนพระองค์แท้ๆ ไม่มีการผิดพลาด ซึ่งท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง (ซึ่งมีวิธีพิสูจน์อีกมากมาย ผมยกมาสั้นๆ) 4. พระองค์ให้ใช้คำสอนเท่านั้นเป็นตัวแทนพระองค์ และพระองค์ตรัสว่า คำสอนของพระองค์มีให้ครบพอดีแล้ว ไม่ขาดไม่เกิน มีคำอธิบายศัพท์ให้ครบแล้ว พระองค์ไม่ให้แต่งเติมหรือตัดทอนออก แต่คำสอนเรื่องเดียวกัน อาจไม่ได้อยู่เรียงกันตามที่เราต้องการ ต้องค้นหาหลายๆแห่งจึงได้คำตอบครบ 5. พระองค์ตรัสว่า การเกิดเป็นมนุษย์ยากมากๆ เมื่อเราตายแล้วส่วนใหญ่ตกนรก หรือบางคนได้ขึ้นสวรรค์ แต่พอหมดเวลาในสวรรค์ก็ตกนรกต่อและอยู่ต่ออีกยาว พระองค์ตรัสว่า ธรรมของพระองค์เป็นประโยชน์กับมนุษย์และเทวดาเท่านั้น เป็นมนุษย์จึงปฏิบัติธรรมได้ดี (เทวดา จึงอยากเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ปฏิบัติธรรม) 6. พระองค์ตรัสว่า ต้องเป็นอริยะบุคคล จึงไม่ตกนรกตลอดกาล เป็นอริยะบุคคลทำได้ง่ายในมนุษย์ (ขนาดว่าง่าย ก็ยังยากเลย) การเป็นอริยะบุคคล (พระหรือญาติโยมก็เป็นได้) คือ เป็นโสดาบันขึ้นไป ซึ่งโสดาบันมีมากกว่า 50 วิธี มีวิธีง่ายๆ เช่น เลื่อมใสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ (อย่างไม่หวั่นไหว) และให้บริจาคทานโดยทำจิตเพื่อละความตระหนี่ ถี่เหนียว 7. ผู้ที่นั่งสมาธิได้ดี ได้เก่ง ได้นาน ไม่ใช่อริยะบุคคล ไม่รอดจากนรกเหมือนกัน ต้องเพิ่มการเห็นเกิดดับของขันธ์5 (คือเห็นอริยะสัจสี่ของขันธ์5) ด้วย จึงจะเป็นอริยะบุคคล 8. พระองค์ตรัสว่า ผู้จะบรรลุธรรม เป็นอริยะบุคคลได้ ต้องมีกำลัง 5 อย่าง ที่เรียก อินทรีย์ 5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน 9. พระองค์ตรัสว่า คนใกล้จะตายจะมีอินทรีย์ 5 มาก จึงฟังธรรมเข้าใจ รู้เรื่อง และปฏิบัติได้เลย คนที่ใกล้จะตาย หรือตายแล้วประมาณ 1-2 ชม. (ถึงแม้ไม่เคยฟัง ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยศรัทธา มาก่อนก็ตาม) ถ้าได้ฟังคำสอนแท้พระองค์ เขาจะได้เป็นอริยะบุคคล ไม่ตกนรกตลอดกาล พิสูจน์ได้จาก เมื่อเขาตายแล้วผิวพรรณของเขาจะผ่องใส ผิวเป็นสีเหลืองผ่อง ตัวนิ่ม เป็นอยู่หลายวัน ผมก็เห็นมาเยอะแล้ว ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์คำสอนสิ่งเดียวที่พิสูจน์ได้เป็นรูปธรรม และพระองค์รับรองเฉพาะคำสอนแท้ของพระองค์เท่านั้น (มีต่อ)

10. คนตายได้ฟังคำสอนพระองค์นิดเดียวได้เป็นอริยะบุคคล คนดูถูกตำหนิพระองค์นิดเดียวก็ตกนรก ซึ่งบางทีก็แยกไม่ออกว่าตำหนิผู้ที่บรรยายธรรม หรือตำหนิพระพุทธเจ้า ต้องระวังให้ดีนะครับ 11. พระองค์ตรัสว่า จิตสุดท้ายคิดอย่างไร เมื่อตายแล้วก็จะไปเกิดเป็นอย่างนั้น ตามคำสอนพระองค์เมื่อร่างกายตายแต่ชีวิตยังไม่ตาย เช่น ถ้าเราตายแล้ว ตัวเราจริงๆ จะยังอยู่กับร่างกายไปอีกประมาณ 1-2 ชม. ช่วงนั้น ญาติๆของเราก็จะร้องไห้ว่าเราตายแล้ว เราก็เห็นญาติร้องไห้ แล้วจิตเราก็เศร้าหมองตาม เราก็จะไม่เกิดในที่ไม่ดี แต่ถ้ามีคนเปิดหรืออ่านคำสอนพระพุทธเจ้าให้ฟัง เราก็ได้ฟัง และปฏิบัติเห็นจริงได้เลย เพราะคนใกล้ตายจะมีอินทรีย์ (พลัง) มาก เพราะการปฏิบัติธรรมอย่างที่จิตปฏิบัติ ไม่ใช่อยู่ที่ร่างกาย 12. คำสอนพระองค์ มีการพูดต่อๆ กันมา เพิ่มเติมบ้าง ลดลงบ้าง มีการผิดพลาดเกิดขึ้น เราศึกษาจากต้นฉบับเองน่าจะดีกว่า เช่น เราเคยได้ยินมาว่า ห้ามเชื่อแม้แต่พระพุทธเจ้า คำนี้ไม่มีในคำสอนพระองค์ แต่พระองค์ตรัสว่าให้ศรัทธาเชื่อพระองค์เท่านั้น และพระองค์ตรัสว่า ความเชื่อใดๆ ให้เชื่อได้ ถ้าเชื่อแล้วไม่ทำให้ผิดศีลข้อ 1-4 เช่น ถ้าเชื่อแล้วมีการฆ่าสิ่งมีชีวิต มีการขโมย มีการผิดในกาม มีการโกหก แบบนี้ไม่ควรเชื่อ แต่ถ้าเชื่อแล้วมีการกินเหล้ากัน (ศีลข้อ5) แบบนี้เชื่อได้ และมีอีกเยอะมากที่เราเข้าใจผิดกัน 13. คำสอนแท้ของพระองค์ หาอ่านได้ในพระไตรปิฎก แต่ในนั้นมีคำสอนแท้ของพระองค์ประมาณ 30% เท่านั้น นอกนั้นมีการอธิบายแต่งเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งคำสอนอื่นในนั้น ส่วนใหญ่ก็ดี แต่ไม่ดีที่สุด ถ้าเราต้องการศึกษาคำสอนที่ดีที่สุด และไม่มีข้อผิดพลาด ก็ศึกษาเฉพาะคำสอนแท้ของพระองค์เท่านั้น ซึ่งผมศึกษาทั้งชีวิตก็ยังไม่หมดไม่ครบ ผมจึงไม่ไปศึกษาคำสอนคนอื่นให้เสียเวลา คำสอนคนอื่นบางทีก็ตรงกับพระพุทธเจ้า บางทีก็ไม่ตรง ทำให้เสียเวลาค้นคว้าเปรียบเทียบ 14. วิธีดูว่าเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าหรือไม่ มีหลายวิธี เช่น ในคำสอนนั้นจะขึ้นต้นด้วยชื่อคน เช่น ดูก่อนภิกขุ ดูก่อนอานนท์ ฯลฯ) คำสอนจะเชื่อมและสอดรับไม่ขัดกันเอง และมีการสอนซ้ำกันไว้หลายแห่ง อ่านเข้าใจได้ง่าย พระองค์อธิบายทุกคำไว้ครบหมดแล้ว ผมก็พิสูจน์มาแล้ว เป็นจริงตามนั้นเลย ท่านลองศึกษาดู คำสอนพระองค์มีการขัดแย้งกันเองไหม ถ้ามีจริงมาบอกผมด้วยผมยังไม่เคยเจอ ถ้าท่านไม่มีเวลาศึกษาเอง ก็ไปหาฟังจากพระที่ท่านบรรยายเฉพาะคำสอนแท้พระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะพระท่านก็คงจะสรุปเนื้อหา คัดมา ให้เราเข้าใจ ได้ง่ายขึ้น (มีต่อ)

15. บางครั้งพระองค์สอนให้กับพระภิกขุ แต่เป็นคำสอนใช้กับญาติโยม เราต้องหาอ่านดูเองครับ บางทีขึ้นต้นด้วยดูก่อนภิกขุทั้งหลาย แต่เป็นคำสอนสำหรับญาติโยม เพราะพระองค์ก็ต้องฝากคำสอนไว้กับพระให้นำมาสอนเราต่ออีก 16. พระไตรปิฎกที่แปลเป็นภาษาไทย ตอนนี้มีในอินเตอร์เน็ตแล้ว หาอ่านได้ฟรีๆ มีเกือบทุกสำนัก ศึกษาได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อหรือฟังจากพระผู้รู้คนใดก็ได้ และทุกสำนักก็ลอกมาจากที่เดียวกัน คำสอนเดียวกันหมด เพียงแต่มีสำนวนการแปลที่ต่างกัน และมีการอธิบายเพิ่มหรือใส่คำสอนเพิ่มเติมเข้าไปอีก เราสามารถศึกษาอ่านเอง หาอ่านได้ง่าย ไม่เสียเงิน ใช้เวลาสักนิด แล้วท่านจะไม่อยากอ่านหนังสือธรรมของคนอื่นอีกเลย และเป็นโอกาสดีที่มีในอินเตอร์เน็ตในคอมพิวเตอร์ เราสามารถค้นคว้า ศึกษาหาได้ง่ายขึ้นมาก 17. คำสอนของพระองค์มีมากมาย มีทุกระดับ ทั้งยากและง่าย ทั้งเบาและแรง เพื่อให้คนทุกประเภท ทุกระดับ เข้าใจได้ คำสอนสำหรับโจรยังมีเลย ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ผ่านไปเลย อ่านไปเรื่อย ๆ จะค่อยๆ เข้าใจเอง และพระองค์ตรัสว่า ฟังคำสอนของท่านบทเดียว และประพฤติตาม ก็เพียงพอแล้ว เช่น เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ก็เพียงพอแล้ว 18. ผมปรารถนาดีกับทุกท่าน ไม่อยากให้ตกนรกอีก (ส่วนใหญ่ตกนรกแล้วอยู่ต่ออีกยาวนานมาก) ไม่มีใครช่วยเราได้ เราต้องช่วยเราเอง ไม่ต้องเชื่อที่ผมบอก ลองศึกษาในพระไตรปิฎกดูเอง ผมสรุปมาให้ท่านแบบย่อๆ สงสัยอยากรู้เพิ่มเติม ถามผมได้ครับ (ขออภัยสำหรับท่านที่เก่งแล้วมีภูมิรู้มากแล้ว ผมพยายามอธิบายด้วยอรรถ ภาษาธรรมดาง่ายๆ ให้คนส่วนใหญ่เข้าใจครับ) 19. สำหรับท่านที่ไม่มีเวลาเลย หรือไม่อยากศึกษามาก ทั้งชีวิตทำแค่นี้พอ คือ 19.1. ท่องบทนี้ให้ได้ และถ้ามีเวลาว่างก็ท่องบ่อยๆ คือ "อิมัสสะหมิง สะติอิทัง โหติ, เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี, อิมัสสุปปาทา อิทัง อุปปัชชะติ, เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น, อิมัสสะหมิง อะสะติ อิทัง นะโหติ, เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี, อิมัสสะ นิโรธา อิทัง นิรุชฌะติ, เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป" (บทนี้พระพุทธเจ้าทรงสวดเอง ผมนำมาสั้นๆ ความจริงมียาวกว่านี้ พระองค์เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” คือ อริยะสัจ 4 ที่เป็นสมุทัยกับนิโรธ) ถ้าเจอคนใกล้ตายหรือเขาตายแล้วประมาณ 1-2 ชม. ก็ท่องบทนี้ให้เขาฟัง เขาจะได้เป็นอริยะบุคคล ไม่ตกนรกตลอดกาลเหมือนกัน 19.2. ถ้าท่านว่าง (ว่างแม้เสี้ยวนาทีก็ได้) ก็ให้เอาจิต(ใจ)ไว้กับลมหายใจ ดูลมตลอดเวลา (เอาจิตไว้กับกาย หรือที่เรียกว่าทำสมาธิ คือให้จิตอยู่กับที่ที่เดียว) ท่านจะได้ผลใหญ่อานิสงค์ใหญ่ ป่วยน้อย แก่ช้า และได้เป็นอริยะบุคคล ไม่ตกนรกตลอดกาล ยิ่งทำมากยิ่งดี หรือถ้าเรากำลังจะตายก็ทำตาม 2 ข้อนี้ได้เลย (ถ้าเลือกทำข้อเดียวก็ควรเลือกข้อ 19.2) ถ้าสงสัยว่าทำไมทำแค่นี้ก็พอแล้ว ท่านก็ต้องไปศึกษาต่อเองในพระไตรปิฎก ก็ต้องใช้เวลามากขึ้น แล้วท่านจะรู้ว่าเป็นจริงตามนี้

Suphot Chanthawong ขออนุโมทนาสาธุๆๆ

การไม่ทานอาหารเย็นจะช่วยให้ ความต้องการทางเพศลดน้อยลงด้วยครับ เหตุผลนี้คือข้อสำคัญเลยครับ ถ้าทุกคนตัดเรื่องกามราคะได้ เชื่อว่าต้องตัดได้ทุกอย่าง จนไปสู่นิพพานได้แน่นอนครับ ปล.ขอให้เจ้าของคลิปผู้เผยแผ่ และ ผู้เผยแพร่คลิปนี้ สุขภาพแข็งแรง ผมคนนึงที่ชอบอ่านพระไตรปิฎก แต่ได้อ่านแค่ไม่กี่หน้า ทำไมศาสนาอื่นเค้าบังคับลูกหลานให้อ่านคำภีร์ แล้วศาสนาเราล่ะ ... ศาสนาเรามีสมณะที่1สมณะ2 3 4 ศาสนาอื่นไม่มี นับเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งได้เกิดในพุทธศาสนา

ว

มีการดัดแปลงแต่งเสียงของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ พุทธวัจนะ

เป็นเสียงของพระอาจารย์ธีรนาทแห่งวัดป่าภูผาสูงใช่มั้ยเจ้าคะดีใจที่ได้มาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้

ดีใจที่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเจ้าค่ะ

Sukrip Lar สาธุครับ

สาธุ.. ขอบคุณค่ะคุสุพจน์ที่ช่วยเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้าช่วยให้ผุ้สนใจแต่ไม่มีเวลาค่้นคว้าได้อ่านในคลิปนี้จะได้เข้าใจเสียทีไม่ใช่พอไม่เข้าใจก็ตำหนิิติเตียนมันเป็นบาปเป็นกรรมซะเปล่าๆนี่แหละที่พระพุทธองค์ตรัสไว้บุคคลเปรียบได้กับดอกบัว4เหล่านั่นเอง... อนุโมทนาบุญในกุศลจิตของทั่นค่ะ.

กู คนไทย มันเป็นแค่การกำหนดให้รู้ถึงความเป็นอจิงทุกขังอนัตตาเท่านั้นนะครับที่คุณบอกมาแต่ก้อดีนะครับถ้าทำได้แบบที่คุณบอกสติจะได้บริสุทธิ์แต่มันยังใม่จบอีกเพราะสติที่บริสุทธิ์มันก้อใม่เที่ยงมีเกิดมีดับแล้วก้อเกิดอีกๆๆดับๆเกิดๆอีกเป็นภพอีกต่อไปเมื่อมีภพก้อมีชาติตามมาอีกต่อด้วยชรามรณะโสกะเปริเทวะตามมาครับ

เริ่มต้นต้องให้รู้แบบที่คุณพูดนั้นถูกต้องแล้วให้เข้าใจแต่ยังใม่ถึงจุดที่สูงสุด

คือวิมติ

เกิดมา ลุย มันต้องเข้าใจจริงๆด้วย ครับ มันก็เหมือนคนสองคนเดินไปในทางที่ราบเรียบ พิจารณาการเดินอยุ่ดีๆ อีกคนก็ตกหลุมลงไป แต่อีกคนยังเดินทางเรียบอยุ่ นั่นแหละ ต้องให้เข้าใจเหมือนคนที่ตกลงไปในหลุมนั้น คือมันต้องเข้าใจแบบนั้น ผมไม่รุ้จะเปรียบยังไง พอเข้าใจแบบนั้นแล้ว เราก็ตื่นขึ้นมาเลย คิดย้อนหลังไป มันหลับนะ ถึงมีสติแต่มันก็ไม่ใช่สติที่ตื่นแล้วแบบคนตกหลุมนั่นแหละ ผมเรียกตรงนี้ว่ารุ้กำพืชของธรรมชาติ หรือแจ้งในธรรมะ การที่บอกว่าให้กำหนดรุ้ ก็สติที่ตื่นนี้แหละ มันนึกได้เอง และเขาละได้เอง ของเขา ก็ไม่ได้ไปละอะไรหรอก แค่เห็นเฉยๆ แล้วไม่ได้เอามาเป็นสาระ เพราะรุ้กำพืชแล้ว หรือแจ้งแล้วนั่นเอง อันว่ากายก็ไม่ใช่เรา สติก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย ที่มีได้เพราะสมมุติว่าเฉยๆ ธรรมะนี้รุ้ได้เฉพาะตนจริงๆ ดั่งที่พระท่านว่า จุดที่จะทำให้เราตื่นจริงคือเปรียบกับคนที่ตกหลุมนั่นแหละครับ ขอให้โชคดี

กู คนไทย ตัวตื่นตัวรู้มันคือสิ่งปรุงแต่งนะครับคือตัวรู้ตัวตื่นมันเกิดเป็นภพขึ้นมาแล้วตัวตื่นตัวรู้มันก้อตกอยู่ในกฎของความเปลี่ยนแปลงใม่เที่ยงใม่งั้นพระพุทธเจ้าท่านจะตรัสทำใมว่าในตอนที่อชิตะมาณพมาถามท่านว่าสติปัญญาและนามรูปจะดับลงที่ใดพระองค์ตอบว่าเมื่อนามรูปดับวิญญานก้อดับหรือเมื่อวิญญานดับนามรูปก้อดับดับยังใงละก้อดับลงไปถึงนิโรจไปเลยคือสัญญาเวทยิตะนิโรจนั่นเองครับใม่มีอารมณ์ใดๆทั้งสิ้นอย่าให้มีผัวสะเกิดขึ้นได้อีกที่คุณบอกมานั้นมันยังเกิดขึ้นได้อยู่ในคิปนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนบอกเพียงให้เรารู้ว่าการเกิดการดับมันคือสัจธรรมความจริงให้คนเราเข้าใจตามนี้เมื่อเข้าใจแล้วต้องดับมันลงให้ได้ตัวรู้ที่คุณเล่าบอกมานั้นคุณรู้ใมว่ามันคืออะไรมันก้อคือมโนสัมผัสนั่นเเองโดยสฬายะตะนะทางใจมันผัสสะขึ้นมาแล้วผัสสะมันเกิดแล้วเมื่อมีผัวสะเกิดแล้วอะไรจะตามมาคุณก้อคงเข้าใจเวทนาทันทีครับเร็วมากท่านสอนให้ดับครับส่วนรู้นั้นเป็นพื้นฐานการเดินปัญญาให้เข้าใจในสัจธรรมเหตุที่ทำให้เกิดเมื่อเข้าใจแล้วท่านให้ดับมันให้เป็สัญญาเวทยิตนิโรจไปเลยนะครับจึงจะใม่มีอะไรๆเกิดมาให้รับรู้อีก